วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

 ลักษณะทั่วไปของภาษา



1.ภาษาเป็นเสียงที่มีความหมาย คำจำกัดความนี้ถือว่า 
            ภาษาพูดเท่านั้นที่เป็นภาษา ภาษาเขียนเป็นพียงตัวแทนของภาษาพูด เสียงที่มีความหมายในภาษาหนึ่งอาจเป็นเสียงที่ไม่มีความหมายในภาษาอื่นก็ได้


2.ภาษามีระบบกฎเกณฑ์แน่นอน เช่นการเรียงลำดับเสียง 
          หรือลำดับคำ เสียงที่ใช้สื่อความหมายจะมีอยู่จำกัด และมีขอบเขตการนำมาใช้ที่แน่นอน เช่น เสียงควบกล้ำในภาษาไทย จะมีเฉพาะเมื่อเป็นพยัญชนะต้นเท่านั้นจะเกิดท้ายคำไม่ได้ ภาษาจะมีลักษณะเป็นระบบซ้อนระบบ









ภาษาพูดและภาษาเขียน

            2.1 ภาษาพูด 


            ภาษาพูด บางทีเรียกว่า ภาษาปาก หรือ ภาษาเฉพาะกลุ่ม เช่น ภาษากลุ่มวัยรุ่น ภาษากลุ่มมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ภาษาพูดไม่เคร่งครัดในหลักภาษาบางครั้งฟังแล้วไม่สุภาพมักใช้พูดระหว่างผู้สนิทสนม หรือผู้ได้รับการศึกษาต่ำ ในภาษาเขียนบันเทิงคดีหรือเรื่องสั้น ผู้แต่งนำภาษาปากไปใช้เป็นภาษาพูดของตัวละครเพื่อความเหมาะสมกับฐานะตัวละคร 

            2.2 ภาษาเขียน 


            ภาษาเขียน มีลักษณะเคร่งครัดในหลักภาษา มีทั้งระดับเคร่งครัดมาก เรียกว่า ภาษาแบบแผน เช่น การเขียนภาษาเป็นทางการดังกล่าวในข้อ 1.1 ระดับเคร่งครัดไม่มากนัก เรียกว่า ภาษากึ่งแบบแผน หรือ ภาษาไม่เป็นทางการ ดังกล่าวในข้อ 1..2 ในวรรณกรรมมีการใช้ภาษาเขียน 3 แบบ คือ ภาษาเขียนแบบจินตนาการ เช่น ภาษาการ



การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร


หลักที่ควรคำนึงถึงในการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร
            2.1  ใช้คำให้ถูกต้องตรงตามความหมาย   กล่าวคือ ก่อนนำคำไปเรียงเข้าประโยค ควรทราบความหมายของคำคำนั้นก่อน เช่น คำว่า 
            “ปอกกับ ปลอกสองคำนี้มีความหมายไม่เหมือนกัน คำว่า ปอกเป็นคำกริยา แปลว่า เอาเปลือกหรือสิ่งที่ห่อหุ้มออก แต่คำว่า ปลอกเป็นคำนาม 
แปลว่า สิ่งที่ทำสำหรับสวมหรือรัดของต่างๆ เป็นต้น ลองพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้
วันนี้ได้พบกับท่านอธิการบดี ผมขอฉวยโอกาสอันงดงามนี้เลี้ยงต้อนรับท่านนะครับ” (ที่จริงแล้วควรใช้ ถือโอกาส เพราะฉวยโอกาสใช้ในความหมายที่ไม่ดี

            2.2  ใช้คำให้เหมาะสม    เลือกใช้คำให้เหมาะสมกับกาลเทศะและเหมาะสมกับบุคคล เช่นโอกาสที่เป็นทางการ โอกาสที่เป็นกันเอง หรือโอกาสที่เป็น
ภาษาเขียน เช่น 
            “ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านจะคิดยังไง” (คำว่า ยังไง”  เป็นภาษาพูด ถ้าเป็นภาษาเขียนควรใช้ อย่างไร 
            “เมื่อสมชายเห็นรูปก็โกรธ กระฟัดกระเฟียด มาก (ควรใช้ โกรธปึงปัง เพราะกระฟัดกระเฟียดใช้กับผู้หญิง) 

            2.3  การใช้คำลักษณนาม  ใช้คำที่บอกลักษณะของนามต่างๆ ให้ถูกต้อง เช่น ปากกา มีลักษณนามเป็น ด้าม เลื่อย มีลักษณะนามเป็น ปื้น ฤๅษี 
มีลักษณะนามเป็น ตน เป็นต้น

            2.4  การเรียงลำดับคำ  เป็นเรื่องที่สำคัญมากในภาษาไทย หากเรียงผิดที่ความหมายก็จะเปลี่ยนไปด้วย ทั้งนี้ เพราะคำบางคำอาจมีความหมาย
ได้หลายความหมายซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่จัดเรียงไว้ในประโยค เช่น
           
            แม่เกลียดคนใช้ฉัน                             ฉันเกลียดคนใช้แม่
     คนใช้เกลียดแม่ฉัน                             แม่คนใช้เกลียดฉัน
     ฉันเกลียดแม่คนใช้                             แม่ฉันเกลียดคนใช้ 
    ข้อบกพร่องในการเรียงลำดับคำมักปรากฏดังนี้
-         เรียงลำดับคำผิดตำแหน่ง เช่น เขาไม่ทราบสิ่งที่ดีงามนั้น ว่า คืออะไร
   (ควรเรียงว่า เขาไม่ทราบ ว่า สิ่งที่ดีงามนั้นคืออะไร)
  -  เรียงลำดับคำขยายผิดที่ เช่น ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย เป็นอย่างสูง
  (ควรเรียงว่า ขอขอบคุณ เป็นอย่างสูง มา ณ โอกาสนี้ด้วย) 
เรียงลำดับคำไม่เหมาะสม เช่น จงไปเลือกตั้งลงคะแนนเสียง นายกสโมสรนักศึกษา
 (ควรเรียงว่า จงไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง นายกสโมสรนักศึกษา)

            2.5  แต่งประโยคให้จบกระแสความ   หมายถึงแต่งประโยคให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนทั้งส่วนที่เป็นภาคประธานและภาคแสดง ซึ่งประโยคที่
จบกระแสความนั้นจะต้องตอบคำถามว่า ใคร ทำอะไร ได้ชัดเจน สาเหตุที่ทำให้ประโยคไม่จบกระแสความอาจเกิดจากขาดคำบางคำหรือขาดส่วนประกอบ
ของประโยคบางส่วนไป เช่น
            เมื่อตอนยังเด็กเขาชอบนอนหนุนตักแม่ บัดนี้เขาอายุยี่สิบกว่าแล้ว
(ควรแก้เป็น เมื่อตอนยังเด็กเขาชอบนอนหนุนตักแม่ บัดนี้เขาอายุยี่สิบกว่าแล้วก็ยังชอบอยู่เหมือนเดิม)

            2.6  ใช้ภาษาให้ชัดเจน  ใช้ภาษาที่ให้ความหมายเพียงความหมายเดียว เป็นความหมายที่ไม่สามารถจะแปลความเป็นอย่างอื่นได้  เช่น คุณแม่
ไม่ชอบคนใช้ฉันอาจแปลได้ 2 ความหมายคือ คุณแม่ไม่ชอบใครก็ตามที่ใช้ให้ฉันทำโน่นทำนี่ หรือคุณแม่ไม่ชอบคนรับใช้ของฉัน ทั้งนี้เพราะคำว่า คนใช้
 เป็นคำที่มีหลายความหมายนั่นเอง

            2.7  ใช้ภาษาให้สละสลวย  ใช้ภาษาอย่างไพเราะราบรื่น ฟังไม่ขัดหู และมีความกะทัดรัด 
             -  ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย หมายถึง การใช้คำที่ไม่จำเป็น หรือใช้คำที่มีความหมายซ้ำซ้อน เช่น วันนี้อาจารย์ไม่มาทำการสอน 
คำว่า ทำการเป็นคำที่ไม่จำเป็น เพราะแม้จะคงไว้ก็ไม่ได้ช่วยให้ความหมายชัดเจนขึ้นกว่าเดิม หรือถ้าตัดทิ้ง ความหมายก็ไม่ได้เสียไป ดังนั้นจึงควรแก้ไขเป็นวันนี้อาจารย์ไม่มาสอน
ใช้คำให้คงที่ หมายถึง ในประโยคเดียวกัน หรือในเนื้อความเดียวกัน ควรใช้คำเดียวกันให้ตลอด ดังประโยคต่อไปนี้
            “หมอถือว่าคนป่วยทุกคนเป็นคนไข้ของหมอเหมือนกัน
(ควรแก้เป็น : หมอถือว่าคนไข้ทุกคนเป็นคนไข้ของหมอเหมือนกัน”)
            -  ไม่ใช้สำนวนต่างประเทศ  เช่น
มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องจากไป
(ควรแก้เป็น เขาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจากไป)
            -  มีเทคนิคการรวบความโดยนำหลายประโยคมาเขียนรวมกันให้กระชับรัดกุม สามารถทำได้ในกรณีต่อไปนี้
            (1)  กรณีที่ประโยคเหล่านั้นมีประธานหลายคำแต่มีกริยาหรือมีพฤติกรรมอย่างเดียวกัน เช่น 
            “วิเชียรเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยพายัพ สมหญิงก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยพายัพ และอนุศักดิ์ก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยพายัพเช่นเดียวกัน
            จะเห็นว่า 3 ประโยคนี้มีประธานไม่ซ้ำกัน แต่มีกริยาอย่างเดียวกัน คือต่างก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยพายัพ ฉะนั้นจึงเขียนรวบความเสียใหม่ว่า
            “วิเชียร สมหญิง และอนุศักดิ์ ต่างก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยพายัพเหมือนกัน
            (2)  กรณีใจความมีลักษณะเป็นเหตุเป็นผลกัน ให้เรียงใจความที่เป็นเหตุไว้ก่อน แล้วตามด้วยใจความที่เป็นผล หรือใจความที่เป็นการสรุปความ เช่น

            “ใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาแจ่มใส ตั้งใจในอันสนทนา วาจาไพเราะ เอื้อเฟื้อเหลือล้น คอยดูแลเสมอ เหล่านี้เป็นเครื่องหมายของผู้จงใจคบ
 ดีกว่าจะเขียนว่า เหล่านี้เป็นเครื่องหมายของผู้จงใจคบ คือใบหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาแจ่มใส ตั้งใจในอันสนทนา วาจาไพเราะ เอื้อเฟื้อเหลือล้น คอยดูแลเสมอ
            การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารอย่างถูกต้องและเหมาะสมนั้น ย่อมทำให้การสื่อสารผ่านสื่อต่างๆ ทุกประเภทมีประสิทธิภาพและได้ผลตามวัตถุประสงค์
ของผู้ส่งสารและผู้รับสาร   

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

องค์ประกอบของภาษา

HD`in5.png

ภาษามีองค์ประกอบ 4 เรื่อง คือ

1. เสียง เกิดจากการเปล่งเสียงแทนพยางค์ และคำ
2. พยางค์และคำ เกิดจากการประสมพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์
3. ประโยค เกิดจากการนำ คำ มาเรียงกันตามลักษณะ โครงสร้างของภาษาที่กำ หนด
    เป็นกฎเกณฑ์หรือเป็นระบบไวยากรณ์ของแต่ละภาษา
4. ความหมาย คือ ความหมายที่เกิดจากคำหรือประโยคเพื่อใช้ในการสื่อสารทำความเข้าใจกัน

              ภาษาไทยมีวิวัฒนาการมาตามลำดับ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยพระโหราธิบดีได้แต่งตำราเรียนภาษาไทยเล่มแรก ชื่อ จินดามณี ขึ้น ต่อมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยกระทรวงธรรมการได้พิมพ์ตำราสยามไวยากรณ์เป็นแบบเรียน และเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดีได้เรียบเรียงขึ้นใหม่ โดยย่อจากตำราสยามไวยากรณ์ จนถึง พ.ศ.๒๔๖๑ พระยาอุปกิตศิลปสารได้ใช้เค้าโครงของตำราสยามไวยากรณ์แต่งตำราหลักภาษาไทยขึ้นใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นตำราหลักภาษาไทยที่สมบูรณ์และเป็นแบบฉบับหลักภาษาไทยที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีหลักการสังเกตลักษณะที่สำคัญของภาษาไทย ดังนี้
1. ภาษาไทยเป็นคำโดด (Isolating Language) คือ คำไทยแต่ละคำจะมีความหมายสมบูรณ์
ในตัวเอง ใช้ได้อย่างอิสระโดยไม่มีการเปลี่ยนรูปศัพท์ เช่น พ่อ แม่ สูง ต่ำ

2. คำไทยแท้ส่วนมากมีพยางค์เดียว คือ คำไทยแท้ส่วนใหญ่มีพยางค์เดียว มีความหมาย
เข้าใจได้ทันที เช่น โอ่ง ไห ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นต้น ส่วนคำไทยแท้ที่มีหลายพยางค์มีสาเหตุมาจาก
    2.1 การปรับปรุงศัพท์ ด้วยการลงอุปสรรคแบบไทย คือ การเพิ่มเสียงหน้าศัพท์ เช่น
    ชิด ---- ประชิด
    ทำ ---- กระทำ
    ลูกดุม ---- ลูกกระดุม

  2.2การกลายเสียง เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของภาษา เช่น
         หมากม่วง ---- มะม่วง
         สายเอว ---- สะเอว
         ต้นไคร้ ---- ตะไคร้

3. คำไทยแท้มีตัวสะกดตรงตามมาตรา เช่น ตัวอย่างคำที่เกี่ยวกับการต่อสู้ ได้แก่
 แม่กก ---- ชก ศอก กระแทก โขก ผลัก
แม่กด ---- กัด ฟัด รัด อัด กอด ฟาด อัด
แม่กบ ---- ตบ ทุบ งับ บีบ จับ กระทืบ ถีบ
แม่กง ---- ถอง พุ่ง ดึง เหวี่ยง ทึ้ง
แม่กน ---- ชน ยัน โยน ดัน
แม่กม ---- โถม ทิ่ม รุม ทุ่ม
แม่เกย ---- เสย ต่อย
แม่เกอว ---- เหนี่ยว น้าว

4. ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์ ซึ่งวรรณยุกต์นี้จะทำ ให้คำ มีระดับเสียง
และความหมายต่างกัน เช่น
คา ค่า ค้า เขา เข่า เข้า
นำ น่ำ น้ำ เสือ เสื่อ เสื้อ

5.มีการสร้างคำเพื่อเพิ่มความหมายให้มากขึ้น การเพิ่มคำในภาษาไทยมีหลายลักษณะ เช่น
การประสมคำ คำซ้อน คำซ้ำ คำสมาส คำสนธิ ศัพท์บัญญัติ คำแผลง เป็นต้น

6.การเรียงคำในประโยค การเรียงคำในประโยคของภาษาไทยนั้นสำคัญมาก เพราะถ้าเรียงคำ
ในประโยคสลับที่กันจะทำให้ความหมายเปลี่ยนไป เช่น
- พ่อให้เงินผมใช้
- พ่อให้ใช้เงินผม
- พ่อให้ผมใช้เงิน

7.คำขยายในภาษาไทยจะเรียงอยู่หลังคำที่ถูกขยายเสมอ เช่น
- แม่ไก่สีแดง
- เรือลำใหญ่แล่นช้า

8.คำไทยมีคำลักษณะนาม โดยมีหลักการใช้ดังนี้
   8.1ใช้ตามหลังคำวิเศษณ์บอกจำนวนนับที่เป็นตัวเลข เช่น นักเรียน ๑๐ คน
    8.2 ใช้ตามหลังคำนามเพื่อบอกลักษณะคำนามที่อยู่ข้างหน้า เช่น
          - หนังสือเล่มนั้นใครซื้อให้
          - นกฝูงนี้มาจากไซบีเรีย

9.ภาษาไทยมีวรรคตอนในการเขียนและการพูด เพื่อกำหนดความหมายที่ต้องการสื่อสารหากแบ่งวรรคตอน    การเขียนผิด หรือพูดเว้นจังหวะผิด ความหมายก็จะเปลี่ยนไป เช่น
- อาหาร อร่อยหมดทุกอย่าง ----- อาหารอร่อย หมดทุกอย่าง

10. ภาษาไทยมีระดับการใช้ แบ่งได้ดังนี้
       10.1 ระดับพิธีการ - ใช้ในพิธีการสำคัญต่างๆ
       10.2 ระดับทางการ - ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ (ภาษาทางการ)
       ยกเว้น คำที่แสดงจำนวนหรือปริมาณ อาจอยู่หน้า หรือ หลังก็ได้ เช่น
       คำขยายอยู่หลัง คำขยายอยู่หน้า
       หมูดำตัวหนึ่งอยู่ในเล้าสีขาว ในเล้าสีขาวมีหมูสองตัว
       ยกเว้น การใช้ว่า เดียวแทนจำนวนนับ ๑ หน่วย ซึ่งจะอยู่หลังลักษณะนาม เช่น
       - ฉันเลี้ยงแมวไว้ตัวเดียว
       - เขากินข้าวจานเดียว
      10.3 ระดับกึ่งทางการ - ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ แต่ลดระดับโดยการใช้
              ภาษาสุภาพและเป็นกันเองมากขึ้น
      10.4 ระดับสนทนา - ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ เช่น การพูดคุยทั่วไป
      10.5 ระดับกันเอง - ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการกับเพื่อนสนิท สามารถใช้
              ภาษาพูดหรือภาษาคะนอง




วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

ข้อมูลเกี่ยวกับภาษาไทย


          ความหมายของภาษาไทย 


                       คำว่า ภาษาหมายถึง ถ้อยคำที่ใช้พูดหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ รวมถึงการเขียนเพื่อสื่อความของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง(พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒, ๒๕๔๖: ๘๒๒) เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน เป็นต้น

                      พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542ให้ความหมายของคำว่าภาษา คือ เสียงหรือกิริยาอาการที่ทำความเข้าใจกันได้ คำพูดถ้อยคำที่ใช้พูดจากัน

         ระเภทของภาษา                                                                                                                            

                    ภาษาแบ่งตามลักษณะการสื่อสารได้ ๒ ประเภท ได้แก่

                     1. วัจนภาษา คือ ภาษาที่ใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร ได้แก่ ภาษาพูด และภาษาเขียน
         2. อวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร ได้แก่ ภาษาท่าทาง ภาษาหน้าตา      ภาษามือและภาษาสัญลักษณ์



 

ลักษณะความสำคัญของภาษาไทย


ลักษณะความสำคัญของภาษาไทย

         1.เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร   

              การดำเนินชีวิตประจำวันและในการประกอบอาชีพจะมีการติดต่อสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจเรื่องราว ความรู้สึก ความนึกคิด ความต้องการของแต่ละฝ่าย ซึ่งได้แก่ผู้ส่งสาร ซึ่งจะส่งสารโดยแสดงพฤติกรรมในรูปของการพูด การเขียน หรือแสดงด้วยท่าทาง ส่วนผู้รับสารจะรับสารด้วยการฟัง การดู หรือการอ่าน แต่ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารหรือรับสารก็ตาม เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้เป็นสะพานเชื่อมโยงเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันคือ ภาษา

         2.เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และแสวงหาความรู้ 
       บรรพบุรุษไทยได้สร้างสรรค์ สะสม อนุรักษ์และถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมให้เป็นมรดกของชาติโดยใช้ภาษาไทยเป็นสื่อ คนรุ่นหลังจึงใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการศึกษาแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ และรับสิ่งที่เป็นประโยชน์มาใช้ในการพัฒนาตนเอง ทั้งการพัฒนาสติปัญญา กระบวนการคิด การวิเคราะห์ การวิพากษ์วิจารณ์ การแสดงความคิดเห็น ทำให้เกิดความรู้และประสบการณ์ที่งอกงาม กลายเป็นผู้ที่มีชีวทัศน์และโลกทัศน์ที่สอดคล้องกับยุคสมัย สามารถติดตามความเจริญก้าวหน้าของศาสตร์ต่างๆ จึงรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกปัจจุบัน ซึ่งนำมาพัฒนาประเทศชาติได้อย่างดี

            3.เป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน
          ในประเทศไทยนอกจากจะมีภาษาไทยกลางซึ่งเป็นภาษาประจำชาติแล้ว เรายังมีภาษาถิ่นต่างๆ ซึ่งเป็นภาษาที่ติดต่อกันเฉพาะในกลุ่ม และเมื่อกำหนดให้ภาษาไทยกลางเป็นภาษามาตรฐานเป็นภาษาที่ใช้ร่วมกัน ทำให้การสื่อสารเข้าใจตรงกันทั้งในการศึกษา ในทางราชการ และในสื่อสารมวลชน การใช้ภาษาไทยกลางช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันในสังคมไทยโดยส่วนรวม

            4.เป็นเครื่องมือในการบันทึกและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของบรรพบุรุษในรูปของวรรณคดีและวรรณกรรม
       การอ่านและการศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรมแต่ละสมัย ทำให้ชนรุ่นหลังรับรู้และเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้แต่ง เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ เข้าใจเหตุการณ์ เข้าใจลักษณะสังคม และสังคมของผู้คนในสมัยนั้นๆ

        5.เป็นเครื่องมือสร้างเอกภาพของชาติ
       การที่ประเทศไทยมีภาษาไทยกลางเป็นมาตรฐานที่ใช้ร่วมกัน มีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีอารยธรรม การใช้ภาษาไทยในการนติดต่อสื่อสารทำให้เกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเกิดความผูกพันเป็นเชื้อชาติเดียวกัน ทำให้เกิดความปรองดองและร่วมมือกันที่นะพัฒนาชาติไทยให้เจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไป

        6.เป็นเครื่องมือช่วยจรรโลงใจ
        ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเสียงไพเราะเมื่อผู้เขียนได้นำมาแต่งเป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง เมื่อใครได้อ่านได้ฟังก็จะเกิดความรู้สึกชื่นบาน เกิดความจรรโลงใจ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของอะไรก็ตามซึ่งเป็นเรื่องราวที่ช่วยให้เกิดความจรรโลงใจ และความชื่นบานนี้จำเป็นต้องอาศัยภาษาเป็นสื่อ ภาษาไทยจึงมีความสำคัญที่ช่วยให้ชีวิตคนไทยมีความสดชื่น รื่นรมย์ มีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เคร่งเครียด เกิดความคิดสร้างสรรค์ และสังคมดำรงอยู่ได้ด้วยดี









วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

ความเป็นมาของภาษาไทย

วันภาษาไทย วันภาษาไทยแห่งชาติ ประวัติ


          ภาษาไทยเป็นภาษาที่เก่าเเก่ที่สุดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรากฐานมาจากออสโตรไทย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับภาษาจีน มีหลายคำที่ขอยืมมาจากภาษาจีน            พ่อขุนรามคำเเหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1826 (ค.ศ.1283) มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดัดแปลงลงมาจากบาลี และ สันสกฤต  

         คนไทยเป็นผู้ที่โชคดีที่มีภาษาของตนเอง และมีอักษรไทย เป็นตัวอักษร ประจำชาติ อันเป็นมรดกล้ำค่าที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ ซึ่งเป็นเครื่องเเสดงว่าไทยเราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมสูงส่งมาแต่โบราณกาลและยั่งยืนมาจนปัจจุบัน 

        คนไทยผู้เป็นเจ้าของภาษา ควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยใช้ภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติมากว่า 700 ปีแล้ว และจะยั่งยืนตลอดไป ถ้าทุกคนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย  

         ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ ภาษาเป็นสื่อใช้ติดต่อกันเเละทำให้วัฒนธรรมอื่นๆเจริญขึ้น เเต่ละภาษามีระเบียบของตนเเล้วเเต่จะตกลงกันในหมู่ชนชาตินั้น ภาษาจึงเป็นศูนย์กลางยืดคนทั้งชาติ ดังข้อความ ตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์ในพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง "ความเป็นชาติโดยแท้จริง" 

         ว่า ภาษาเป็นเครื่องผูกพันมนุษย์ต่อมนุษย์แน่นเเฟ้นกว่าสิ่งอื่น และไม่มีสิ่งใด ที่จะทำให้คนรู้สึกเป็นพวกเดียวกันหรือเเน่นอนยิ่งไปกว่าภาษาเดียวกัน รัฐบาลทั้งปวงย่อมรู้สึกในข้อนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้น รัฐบาลใดที่ต้องปกครองคนต่างชาติต่างภาษา จึงต้องพยายามตั้งโรงเรียนเเละออกบัญญัติบังคับ ให้ชนต่างภาษาเรียนภาษาของผู้ปกครอง เเต่ความคิดเห็นเช่นนี้ จะสำเร็จตามปรารถนาของรัฐบาลเสมอก็หามิได้ เเต่ถ้ายังจัดการเเปลง ภาษาไม่สำเร็จอยู่ตราบใด ก็เเปลว่า ผู้พูดภาษากับผู้ปกครองนั้นยังไม่เชื่ออยู่ตราบนั้น เเละยังจะเรียกว่าเป็นชาติเดียวกันกับมหาชนพื้นเมืองไม่ได้ อยู่ตราบนั้น ภาษาเป็นสิ่งซึ่งฝังอยู่ในใจมนุษย์เเน่นเเฟ้นยิ่งกว่าสิ่งอื่น"          
  
          ดังนั้นภาษาก็เปรียบได้กับรั้วของชาติ ถ้าชนชาติใดรักษาภาษาของตนไว้ได้ดี ให้บริสุทธิ์ ก็จะได้ชื่อว่า รักษาความเป็นชาติ    
        
         คนไทยทุกคนใช้ภาษาไทยเป็นสื่อความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นยังไม่เพียงพอ ควรจะรักษาระเบียบความงดงามของภาษา ซึ่งเเสดงวัฒนธรรม เเละ เอกลักษณ์ประจำชาติไว้อีกด้วย ดัง พระราชดำรัส สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ตอนหนึ่งว่า  "ภาษานอกจากจะเป็นเครื่องสื่อสารเเสดงความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วโลก เเล้ว ยังเป็นเครื่องเเสดงให้เห็นวัฒนธรรม อารยธรรม เเละเอกลักษณ์ ประจำชาติอีกด้วย ไทยเป็นประเทศซึ่งมีขนบประเพณี ศิลปกรรมเเละภาษา ซึ่งเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตกาล เราผู้เป็นอนุชนจึงควรภูมิใจ ช่วยกัน ผดุงรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่บรรพบุรุษได้ อุตส่าห์สร้่างสรรค์ขึ้นไว้ให้เจริญสืบไป "